บันทึกคำบรรยายเนติบัณฑิตยสภา
ภาคสอง สมัย ๖๕
วิชา
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ภาค ๓-๔ (ค่ำ)
๒๖ มกราคม ๒๕๕๖ (ตอนที่ ๒)
การจัดหาทนายความให้จำเลย
มาตรา ๑๗๓
ในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต หรือในคดีที่จำเลยมีอายุไม่เกินสิบแปดปีในวันที่ถูกฟ้องต่อศาล
ก่อนเริ่มพิจารณาให้ศาลถามจำเลยว่ามีทนายความหรือไม่
ถ้าไม่มีก็ให้ศาลตั้งทนายความให้
ในคดีที่มีอัตราโทษจำคุก
ก่อนเริ่มพิจารณาให้ศาลถามคำให้การจำเลยว่ามีทนายความหรือไม่
ถ้าไม่มีและจำเลยต้องการทนายความ ก็ให้ศาลตั้งทนายความให้
หลักเกณฑ์
๑.
คดีที่มีความร้ายแรง (ประหารชีวิต)
หรือคดีที่เป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปีในวันที่ถูกฟ้องต่อศาล ศาลต้องถามจำเลย
และต้องจัดหาทนายความให้จำเลยหากจำเลยไม่มี
หากไม่จัดให้ถือว่าเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบ หากศาลต้นพบเองก็เพิกถอนเองตาม
มาตรา ๒๗ ป.วิ.พ. ประกอบ มาตรา ๑๕ ป.วิ.อ. แต่หากเป็นศาลสูงพบต้องใช้ มาตรา ๒๐๘(๒)
ให้พิพากษาสั่งให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
๒.
คดีธรรมดา (อัตราโทษจำคุก)
มีสองคำถามดังนี้
·
มีทนายความหรือไม่
?
·
ต้องการทนายความหรือไม่
?
การฝ่าฝืนมาตรา ๑๗๓
ไม่มีกฎหมายเขียนกำหนดโทษเอาไว้ เหมือนกรณีของมาตรา ๑๓๔/๑
ที่บัญญัติห้ามมิให้รับฟัง (จะรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้) เอาไว้ในมาตรา ๑๓๔/๔
วรรคท้าย ดังนั้นหากมีการฝ่าฝืนมาตรา ๑๗๓ จะมีผลเป็นอย่างไร
กรณีดังกล่าวถือว่าเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบหากศาลชั้นต้นเห็นก็อาจใช้การเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบตามมาตรา
๒๗ ป.วิ.พ. ประกอบมาตรา ๑๕ ป.วิ.อ. แต่หากเป็นศาลสูงพบก็ต้องใช้มาตรา ๒๐๘ (๒) ถือว่าคำให้การดังกล่าวเป็นอันเสียไป
ไม่มีผลผูกพันจำเลย
เช่นเดียวกับกรณีการเบิกความโดยไม่ได้สาบานตนก่อนก็ไม่มีบทตัดพยานโดยเฉพาะ
ดังนั้นต้องใช้บททั่วไปตามมาตรา ๘๖ ป.วิ.พ. ถือเป็นการสืบพยานโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายรับฟังไม่ได้
การพิจารณาคดี (ต้องดูตาม ป.วิ.พ.)
มาตรา ๑ (๘) การพิจารณา หมายความว่า กระบวนพิจารณาทั้งหมดในศาลใดศาลหนึ่ง
ก่อนศาลนั้นชี้ขาดตัดสินหรือจำหน่ายคดีโดยคำพิพากษาหรือคำสั่ง
การถามคำให้การ
ถือว่าเป็นการพิจารณาคดี
ดังนั้นศาลจะถามคำให้การจำเลยโดยไม่ได้ถามจำเลยเรื่องทนายความไม่ได้ หากถามคำให้การไปโดยปราศจากการจัดหาทนายความให้และจำเลยรับสารภาพโดยไม่มีทนายความถือว่าคำรับสารภาพนั้นเป็นอันเสียไป
ไม่มีผลผูกพันจำเลย ศาลชั้นต้นต้องเพิกถอน
คำถาม : หากจำเลยเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเช่น
เป็นอาจารย์สอนกฎหมาย หากไม่มีทนายความและเป็นคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต
ต้องจัดหาทนายความให้หรือไม่ ?
ตอบ : ต้องจัดหาให้เสมอ แม้จำเลยไม่ต้องการก็ต้องตั้งให้
(ศาลต้องตั้งให้แต่จำเลยจะใช้ทนายความหรือไม่เป็นเรื่องของจำเลย)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๐๑๗/๒๕๔๑ วิธีการตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความ
อาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 20เป็นการดำเนินการในชั้นสอบสวนและการพิจารณาคดีในชั้นศาลการที่ศาลถามผู้
ต้องหาหรือจำเลยว่าจะให้การประการใดตามความในมาตรา 20 ดังกล่าว
ถือเป็นการพิจารณา และตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 วรรคสองบัญญัติว่า ก่อนเริ่มพิจารณาให้ศาลถามจำเลยว่ามีทนายหรือไม่ดังนั้น
ก่อนเริ่มพิจารณาหรือก่อนเริ่มการพิจารณาสอบถามผู้ต้องหาหรือจำเลยว่าจะให้ การประการใด
ศาลจะต้องสอบถามเรื่องทนายจำเลยเสียก่อนเท่านั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 173 วรรคสองประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง
พ.ศ. 2499 มาตรา 4 หากศาลมิได้สอบถามเรื่องทนายจำเลย
แต่ก้าวล่วงไปถึงการพิจารณาสอบถามคำให้การของจำเลยจึงเป็นการมิชอบ
พิจารณา
๑. พนักงานอัยการโจทก์ว่าจำเลยยักยอกทรัพย์
๒. ศาลชั้นต้นสอบถามคำให้การจำเลยก่อนสอบถามเรื่องทนายความ
จำเลยได้ให้การรับสารภาพ หลังจากนั้นศาลชั้นต้นตัดสินลงโทษตามฟ้อง ลงโทษจำคุก ๑
เดือน จำนวน ๓๔ กระทง เป็น ๓๔ เดือน จำเลยรับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือ ๑๗ เดือน
๓. มีปัญหาสู่ศาลสูงว่า
“คำรับสารภาพก่อนมีทนายความ” รับฟังลงโทษจำเลยได้หรือไม่ ?
๔. ศาลสูงตัดสินว่า
การถามคำให้การจำเลยถือเป็นกระบวนพิจารณาอย่างหนึ่ง
ศาลจะสอบถามคำให้การก่อนสอบถามเรื่องทนายความไม่ได้
ดังนั้นจึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ ดังนั้นการตัดสินลงโทษจำเลยจึงไม่ชอบ
ศาลสูงจึงยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ย้อนให้ศาลชั้นต้นกลับไปสอบถามเรื่องทนายความใหม่
ก่อนสอบถามคำให้การ
หากไม่ใช่คำรับสารภาพแต่เป็นสิ่งอื่นรับฟังได้หรือไม่ ?
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๘๗๑/๒๕๐๙ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 บัญญัติให้ศาลสอบถามจำเลยเรื่องทนาย ถ้าจำเลยไม่มีทนาย และจำเลยต้องการ ก็ให้ศาลตั้งทนายให้จำเลยเสียก่อนเริ่มพิจารณาถ้าศาลสอบถามคำให้การจำเลย
ก่อนสอบถามเรื่องทนายก็ย่อมเป็นการไม่ชอบ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ในเมื่อศาลฎีกาเห็นว่าไม่มี
เหตุอันสมควรที่จะให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่
ประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 173 บัญญัติขึ้นเพื่อให้จำเลยมีทนายต่อสู้คดีที่เป็นความผิดอุกฉกรรจ์
มีอัตราโทษจำคุกตามที่ระบุไว้ มิใช่หมายความรวมถึงโทษที่จำเลยจะพึงได้รับจากการเพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบด้วย การที่จำเลยจะถูกเพิ่มโทษหรือไม่ เป็นคนละส่วนกับกรณีความผิดที่จำเลยถูกฟ้องร้อง
ฉะนั้น แม้จำเลยจะให้การก่อนที่ศาลสอบถามจำเลยเรื่องทนาย
คำให้การนั้นก็ไม่เสียไป ทั้งตามรูปคดีก็ไม่มีเหตุน่าสงสัยว่าคำให้การของจำเลยในข้อนี้จะไม่เป็นความ
จริง คำรับของจำเลยในข้อเคยต้องโทษและพ้นโทษ จึงรับฟังเพื่อเพิ่มโทษจำเลยได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่
10-11/2509)
พิจารณาดังนี้
๑. โจทก์ฟ้องว่าจำเลยชิงทรัพย์และกล่าวในฟ้องว่าจำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ต้องลงโทษ
๖ เดือนในความผิดฐานรับของโจร
และภายในเวลาห้าปีหลังพ้นโทษจำเลยได้กลับมากระทำความผิดในคดีหลังอีก
จึงขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์และเพิ่มโทษจำเลยตามมาตรา ๙๒ ป.อ.
๒. ในวันนัดพร้อม
ศาลได้สอบถามจำเลย จำเลยปฏิเสธแต่รับว่าเคยต้องโทษตามฟ้องจริง
โดยศาลไม่ได้สอบถามจำเลยเรื่องทนายความ ศาลชั้นต้นก็ได้นัดสืบพยานโจทก์
๓. ในวันนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก
จำเลยได้ตั้งทนายความซักค้านโจทก์
๔. ศาลตัดสินว่า
แม้ศาลจะฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา ๑๗๓ วรรคแรก และวรรคสอง แต่หากในวันสืบพยานโจทก์นัดแรก
จำเลยมีทนายความมาซักค้านพยานโจทก์และช่วยการต่อสู้คดีแล้ว
การดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นที่ไม่ได้ตั้งทนายความให้จำเลย
ก็ไม่ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย เพราะจำเลยมีทนายความต่อสู้คดีมาตั้งแต่เริ่มต้น
๕. ศาลสูงจึงไม่ต้องเพิกถอน
การสืบพยานโจทก์จึงไม่ขัดต่อกฎหมาย
๖. ศาลจะเพิ่มโทษจำเลยได้หรือไม่
?
·
มาตรา ๑๗๓
มุ่งคุ้มครองเฉพาะข้อหาตามที่โจทก์ฟ้องเท่านั้น
ไม่รวมถึงคำขอตามที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษจำเลย
ดังนั้นคำรับว่าเคยต้องโทษก่อนมีทนายจึงฟังได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๓๖๖/๒๕๔๔ โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาฐานผลิตเมทแอมเฟตามีนเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยา
เสพติดให้โทษฯ มาตรา 65 วรรคสอง ซึ่งมีโทษสถานเดียวคือประหารชีวิต
ในวันนัดสอบคำให้การจำเลย ศาลชั้นต้นสอบถามจำเลยเรื่องทนายความ จำเลยแถลงไม่ต้องการทนายความไม่ขอต่อสู้คดี
โดยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาไว้และเลื่อนไปนัดสืบพยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพของจำเลย
โดยไม่ได้ตั้งทนายความให้แก่จำเลย
เมื่อถึงวันนัด ศาลชั้นต้นได้สืบพยานโจทก์ไปสองปาก โดยจำเลยไม่มีทนายความต่อมาศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ดำเนินมาแล้วทั้งหมดและมีหนังสือตั้งทนายความให้แก่จำเลย
กับเลื่อนคดีไปนัดสืบพยานโจทก์ใหม่ ในวันนัดสืบพยานโจทก์ใหม่ ศาลชั้นต้นไม่ได้ให้พยานโจทก์ทั้งสองปากที่เบิกความตอบโจทก์ซึ่งศาลชั้นต้น
มีคำสั่งให้เพิกถอนเพราะเป็นการผิดระเบียบไปแล้ว เข้าเบิกความตอบคำซักถามของโจทก์ใหม่
เพียงแต่ให้ทนายจำเลยถามค้านพยานโจทก์ทั้งสองปากนี้ต่อไปเลยเท่านั้น ดังนี้ การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น
เป็นการไม่ชอบและการที่ศาลล่างทั้งสองดำเนินกระบวนพิจารณาและมีคำพิพากษาใน คดีนี้ต่อมาจึงเป็นการไม่ถูกต้อง
ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้ไม่มีคู่ความ ฝ่ายใดฎีกา
ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นว่ากล่าวและเห็นควรแก้ไขโดยย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้น ดำเนินกระบวนพิจารณาเสียใหม่ให้ถูกต้อง
อย่างไรจึงจะถูกต้อง ?
คือต้องให้พยานโจทก์ทั้งสองมาเบิกความใหม่หมด
คือเริ่มต้นตั้งแต่เริ่มต้นเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๒๖๐/๒๕๔๘ ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงฯ มาตรา 4 และ ป.วิ.อ. มาตรา 173
วรรคสอง เป็นบทบัญญัติที่ให้ความคุ้มครองแก่จำเลยในการพิจารณาคดีของศาลคดีนี้เป็น
คดีที่มีอัตราโทษจำคุก เมื่อจำเลยไม่มีและแถลงต้องการทนายความ จึงเป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นที่ต้องตั้งทนายความให้ก่อนเริ่มพิจารณา
การที่ศาลชั้นต้นดำเนินคดีไปโดยจำเลยไม่มีทนายความแล้วพิพากษาลงโทษจำเลย จึงเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณาอันเป็น
กระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยแม้จำเลยไม่
ได้ยกขึ้นอุทธรณ์หรือฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้โดยให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณา
พิพากษาใหม่ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 208 (2) ประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๐๖๔/๒๕๓๕ ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา173 วรรคสอง มีเจตนารมณ์
เพื่อให้จำเลยมีทนายช่วยเหลือในการต่อสู้คดีที่เป็นความผิดอุกฉกรรจ์ มีอัตราโทษจำคุกตามอัตราที่ระบุไว้
แม้ก่อนเริ่มพิจารณาศาลชั้นต้นจะมิได้สอบถามจำเลยว่าต้องการทนายที่ศาลจะตั้งให้หรือไม่ก็ตาม
แต่เมื่อปรากฏว่าก่อนเริ่มสืบพยานโจทก์จำเลยได้แต่งตั้งทนายเข้ามาเองพร้อมกับยื่นคำให้การปฏิเสธและทนายจำเลยได้ว่าความให้จำเลยมาตลอด
ย่อมไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบในการต่อสู้คดีแต่อย่างใด
จึงไม่มีเหตุอันสมควรที่จะให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่
สรุปหลักเกณฑ์มาตรา
๑๗๓
ศาลต้องสอบถามเรื่องทนายความก่อนสอบถามเรื่องอื่น
ๆ หากไม่ได้สอบถามเรื่องทนายความและได้สอบถามคำให้การไปถือว่าคำให้การนั้นเสียไป
หากเป็นคำรับสารภาพก็เสียไป
แต่หากเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับฟ้องโดยตรงเช่นการรับว่าเคยต้องโทษซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการเพิ่มโทษ
แม้จะได้สอบถามตอนที่จำเลยไม่มีทนายความก็รับฟังได้
ขั้นตอนต่อไปในการพิจารณา
(หลังจากที่สอบถามเรื่องทนายความแล้ว)
มาตรา ๑๗๒
วรรคสอง
เมื่อโจทก์หรือทนายโจทก์และจำเลยมาอยู่ต่อหน้าศาลแล้ว
และศาลเชื่อว่าเป็นจำเลยจริง ให้อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง และถามว่าได้กระทำผิดจริงหรือไม่
จะให้การต่อสู้อย่างไรบ้าง คำให้การของจำเลยให้จดไว้ ถ้าจำเลยไม่ยอมให้การ
ก็ให้ศาลจดรายงานไว้และดำเนินการพิจารณาต่อไป
สามารถแยกคำให้การของจำเลยได้สองแบบคือ
๑. คำให้การรับสารภาพ
๒. คำให้การปฏิเสธ
คำให้การรับสารภาพ
คำให้การของจำเลยต้องชัดแจ้งว่ากระทำความผิดตามฟ้องจริง
หากไม่ชัดแจ้งก็เป็นหน้าที่โจทก์ที่จะต้องกระทำให้ถูกต้อง เช่น
โจทก์ต้องนำสืบให้เห็นได้ชัด
คำให้การที่ไม่ชัดแจ้งเช่น
ระเบิดนั้นไม่ใช่ของจำเลย แต่เพื่อให้ไม่เป็นการยุ่งยากจำเลยขอรับสารภาพ
ไม่ถือว่าเป็นคำรับสารภาพ เช่นนี้เป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำสืบพยาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๓๑๘/๒๕๒๓
คำให้การของจำเลยที่ยื่นต่อศาลมีความว่า "คดีนี้ข้อเท็จจริงจำเลยเป็นลูกจ้างตัดไม้
ได้อาศัยรถยนต์คันเกิดเหตุไป ในระหว่างจับกุมวัตถุระเบิดมีผู้ต้องหา 3 คนผู้ต้องหาอีก 2 คนบอกให้จำเลยรับสารภาพแล้วจะช่วยเหลือเรื่องเงินทอง
ด้วยความไม่รู้เท่าถึงการจำเลยจึงได้รับสารภาพ ความจริงแล้วระเบิดทั้งสองลูกไม่ใช่ของจำเลย
แต่เพื่อไม่ให้ยุ่งยากแก่คดีจำเลยขอรับสารภาพตลอดข้อหาไม่ขอต่อสู้คดี"
ดังนี้ ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นคำให้การที่รับสารภาพว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริงตามที่
โจทก์ฟ้อง เมื่อโจทก์ไม่สืบพยานจึงลงโทษจำเลยตามฟ้องไม่ได้
กรณีมีฟ้องหลายข้อหาและจำเลยรับสารภาพหากไม่ปรากฏว่าจำเลยรับสารภาพในข้อหาใดโจทก์ต้องสืบให้เป็นที่แน่ชัด
เช่น โจทก์ฟ้องว่าจำเลยลักทรัพย์หรือรับของโจร จำเลยรับสารภาพทุกข้อหา
เช่นนี้โจทก์ต้องสืบให้ได้ความว่า
จำเลยรับสารภาพในความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๗๔๒/๒๕๔๔ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร ย่อมแสดงว่าโจทก์ประสงค์ให้ศาลลงโทษจำเลยในข้อหาใดข้อหาเดียวเท่านั้น การที่จำเลยให้การรับสารภาพผิดตามฟ้องโจทก์ทุกประการจึงเป็นคำรับสารภาพที่ ไม่สามารถรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดในข้อหาใดโจทก์จึงต้องนำพยานเข้าสืบ เพื่อให้ได้ความว่าจำเลยกระทำผิดในข้อหาใดข้อหาหนึ่ง แต่โจทก์มิได้นำสืบให้ได้ความเช่นนั้น และแม้ว่าในคำร้องขอบรรเทาโทษของจำเลยจะมีเนื้อหาว่าจำเลยรับซื้อไมโครโฟน ของกลางไว้เพื่อให้หลานใช้ร้องเพลงเล่นก็ตามแต่คำร้องขอบรรเทาโทษมิใช่คำให้การ
แต่เป็นเพียงการขอให้ศาลลงโทษสถานเบาและบรรยายเหตุผลต่าง ๆ ให้ศาลปรานีถึงแม้จะมีถ้อยคำที่อาจแสดงว่าจำเลยรับสารภาพในความผิดฐานใดฐาน หนึ่งหรือมิได้รับสารภาพในความผิดฐานใดเลยก็มิอาจถือได้ว่าเป็นคำให้การของจำเลย เมื่อคำให้การของจำเลยไม่สามารถรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดในข้อหาใด ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยไม่ได้ (ยกฟ้อง—นายแมงมุม)
กรณีที่โจทก์มีคำขออุปกรณ์ท้ายฟ้องด้วย
เช่นการเพิ่มโทษ
การที่โจทก์กล่าวในฟ้องดังว่านั้นเช่นจำเลยพ้นโทษมาไม่เกินห้าปี
หรือให้นับโทษต่อกับอีกคดี การบวกโทษในคดีที่รอไว้
ดังนี้หากจำเลยรับสารภาพตามฟ้องถือว่าจำเลยรับสารภาพในประเด็นดังกล่าวด้วยหรือไม่
? (รวมด้วย—ถือว่ารับทุกเรื่องตามที่กล่าวในฟ้อง)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๕๒๔๘/๒๕๔๖ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลชั้นต้นในคดีอาญาหมายเลขแดงที่
2079/2542 ให้ลงโทษจำคุก 1 ปี และปรับ 15,000
บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ฐานเสพเมทแอมเฟตามีนโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายและมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดย
ไม่ได้รับอนุญาต ภายในกำหนดระยะเวลารอการลงโทษดังกล่าวจำเลยกระทำความผิดคดีนี้อีกขอให้บวก
โทษเข้ากับโทษของจำเลยคดีนี้ เมื่อศาลชั้นต้นอ่านอธิบายฟ้องทั้งหมดให้จำเลยฟัง
จำเลยได้ให้การว่า ได้ทราบคำฟ้องตลอดแล้ว ข้าพเจ้าจำเลยขอให้การรับสารภาพตามฟ้อง
ดังนั้น คำให้การจำเลยที่รับสารภาพตามฟ้องดังกล่าวจึงย่อมหมายรวมถึงการรับว่าจำเลย
เคยต้องโทษจำคุกมาก่อนตามที่โจทก์กล่าวหาในฟ้องด้วย ศาลชั้นต้นจึงนำโทษจำคุกของจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษ
ของจำเลยในคดีนี้ได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โทษจำคุกในความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนโดยฝ่าฝืนต่อ
กฎหมายให้เบาลงแล้วรวมโทษจำคุกกับฐานอื่นเป็นจำคุก 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยไม่ได้ระบุว่าให้นำโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษคดี
นี้ ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าในที่สุดแล้วศาลลงโทษจำคุก จำนวนเท่าใด ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ชัดเจนขึ้น
หากจำเลยรับว่าได้กระทำผิด
ถือว่ารับว่ากระทำความผิดแต่ไม่ได้หมายความว่ารับในเรื่องของการเพิ่มโทษ
การบวกโทษ ต่าง ๆ ด้วย (อ.ธานี—เห็นว่าเป็นคำพิพากษาที่แหวกแนวออกไป)
ในคดีอาญาจะลงโทษจำเลยได้สองแบบเท่านั้นคือ
๑. คำรับสารภาพ
๒. พยานหลักฐาน
กรณีจำเลยรับสารภาพต้องดูต่อที่มาตรา
๑๗๖
มาตรา ๑๗๖ ในชั้นพิจารณา
ถ้าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปก็ได้
เว้นแต่คดีที่มีข้อหาในความผิดซึ่งจำเลยรับสารภาพนั้น
กฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น
ศาลต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริง
ในคดีที่มีจำเลยหลายคน
และจำเลยบางคนรับสารภาพ เมื่อศาลเห็นสมควรจะสั่งจำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ปฏิเสธเพื่อให้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ปฏิเสธนั้น
เป็นคดีใหม่ภายในเวลาที่ศาลกำหนดก็ได้
·
ความผิดเล็กน้อยศาลลงโทษได้เลย
·
ความผิดร้ายแรง
(โทษจำคุกอย่างต่ำตั้งแต่ห้าปีขึ้นไป) ศาลต้องฟังพยานโจทก์ก่อน
และศาลก็ยังมีอำนาจตามมาตรา ๑๘๕ ด้วย
เช่น โจทก์ฟ้องจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จำเลยรับสารภาพตามฟ้อง
แต่การสืบพยานโจทก์พยานผู้เชี่ยวชาญระบุว่า
ผู้ตายได้ตายไปก่อนที่จำเลยจะได้ยิงปืนออกไป ดังนี้การกระทำของจำเลยย่อมไม่เป็นความผิด (คดีอาญาถือพยานหลักฐานยิ่งใหญ่กว่าคำรับ-แตกต่างกับคดีแพ่งที่ถือว่าคำรับยิ่งใหญ่กว่าพยานหลักฐาน)
หากจำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลจะกำหนดวันสืบพยานหลักฐาน
และการสืบพยานหลักฐานนั้นตามมาตรา ๑๗๔ โจทก์มีอำนาจเปิดคดีซึ่งหมายความว่า
โจทก์ต้องสืบพยานก่อน ต่างกับคดีแพ่งที่ดูเรื่องภาระการพิสูจน์
อ่านดูเล่น ๆ
นะครับ
มาตรา ๑๘๕ ถ้าศาลเห็นว่าจำเลยมิได้กระทำความผิดก็ดี
การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดก็ดี คดีขาดอายุความแล้วก็ดี
มีเหตุตามกฎหมายที่จำเลยไม่ควรต้องรับโทษก็ดี ให้ศาลยกฟ้องโจทก์ปล่อยจำเลยไป..
เมื่อศาลเห็นว่าจำเลยได้กระทำความผิด
และไม่มีการยกเว้นโทษตามกฎหมาย ให้ศาลลงโทษแก่จำเลยตามความผิด ..
มาตรา ๑๙๒
ห้ามพิพากษาเกินคำขอ
มาตรา ๑๙๒ ห้ามมิให้พิพากษา หรือสั่ง เกินคำขอ
หรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง
ถ้า ศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดั่งที่
กล่าวในฟ้อง ให้ศาลยกฟ้องคดีนั้น เว้นแต่ข้อแตกต่างนั้นมิใช่ในข้อสาระสำคัญและทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้
ศาลจะลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นก็ได้
ใน กรณีที่ข้อแตกต่างนั้นเป็นเพียงรายละเอียด
เช่น เกี่ยวกับเวลาหรือสถานที่กระทำความผิดหรือต่างกันระหว่างการกระทำผิดฐานลัก ทรัพย์
กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ฉ้อโกง โกงเจ้าหนี้ ยักยอก รับของโจร และทำให้เสียทรัพย์
หรือต่างกันระหว่างการกระทำผิดโดยเจตนากับประมาท มิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญ
ทั้งมิให้ถือว่าข้อที่พิจารณาได้ความนั้นเป็นเรื่องเกินคำขอหรือเป็นเรื่อง ที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ
เว้นแต่จะปรากฏแก่ศาลว่าการที่ฟ้องผิดไปเป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้ แต่ทั้งนี้ศาลจะลงโทษจำเลยเกินอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดที่
โจทก์ฟ้องไม่ได้
ถ้า ศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงบางข้อดั่งกล่าวในฟ้อง และตามที่ปรากฏในทางพิจารณาไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ
ห้ามมิให้ศาลลงโทษจำเลยในข้อเท็จจริงนั้น ๆ
ถ้า ศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามฟ้องนั้นโจทก์สืบสม แต่โจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิด
ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้
ถ้า ความผิดตามที่ฟ้องนั้นรวมการกระทำหลายอย่าง แต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง
ศาลจะลงโทษจำเลยในการกระทำผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่พิจารณาได้ความก็ได้
อธิบายเบื้องต้น
หลักเกณฑ์
๑.
ห้ามมิให้ศาลพิพากษาเกินคำขอ (แม้กล่าวมาในฟ้องก็ลงโทษไม่ได้—โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ)
·
ข้อยกเว้น
§ โจทก์อ้างฐานความผิด—บทมาตราผิด แต่สืบสมตามฟ้อง
ศาลสามารถลงโทษได้ แต่ต้องเป็นบทที่มีโทษน้อยกว่าบทมาตราที่ถูกต้อง
(ฐานที่อ้างมาตามคำขอท้ายฟ้องต้องหนักกว่า)
§ ความผิดตามฟ้องรวมการกระทำหลายอย่าง
(ตามมาตรา ๑๙๒ วรรคหก) เช่นอันตรายสาหัสรวมการกระทำฐานทำร้ายร่างกายอยู่ตัว
หรือชิงทรัพย์กับปล้นทรัพย์ เป็นต้น
๒.
ห้ามมิให้ศาลพิพากษาหรือสั่งที่โจทก์ไม่ได้กล่าวมาในฟ้อง
·
เช่นโจทก์ฟ้องว่าจำเลยฆ่าผู้ตายโดยเจตนาขอให้ลงโทษ
มาตรา ๒๘๙ ปรากฏว่าฟังได้ว่าจำเลยฆ่าคนตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ก็ลงโทษได้แค่ ม.๒๘๘
เพราะมิได้กว่าไว้ในฟ้อง
·
ข้อยกเว้น คือวรรคสอง และวรรคสาม
คือข้อแตกต่างมิใช่สาระสำคัญ เป็นต้น (ยกเว้นวรรคหนึ่ง วรรคสอง วรรคสี่)
ติดตามตอนต่อไปนะครับ