ประกาศจากแอดมิน



กำลังปรับปรุงนะครับ อีกสักพักคงได้พบกับ
Spiderlaw แบบเต็มรูปแบบครับ

วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ภาษีเงินได้นิติบุคคล ตอนที่ ๒


กฎหมายภาษี (ปกติ) เนติบัณฑิตยสภา ภาคหนึ่ง สมัย ๖๕
บรรยายโดย ศาสตราจารย์ชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม

๖ มิถุนายน ๒๕๕๕
วิธีเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล

ประมวลรัษฎากร ได้กำหนดวิธีเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลไว้ ๕ วิธี
๑.     การเสียจากฐานกำไรสุทธิ
๒.     เสียจากฐานรายได้ก่อนหักรายจ่ายใด ๆ
๓.     เสียจากการจำหน่ายเงินกำไรไปต่างประเทศ
๔.     วิธีหักภาษี ณ ที่จ่าย
๕.     วิธีประเมินโดยเจ้าพนักงานประเมิน
ฐานรายได้ก่อนหักรายจ่ายใด ๆ
มูลนิธิหรือสมาคมที่มิใช่องค์การสาธารณกุศล
        มูลนิธิหรือสมาคมที่มิใช่องค์การสาธารณกุศล ตามประกาศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังถือเป็นบริษัท ต้องเสียจากฐานรายได้ก่อนหักรายจ่ายใด ๆ ในอัตรา   ๑๐ % โดยไม่คำนึงว่าจะมีกำไร-ขาดทุน รอบบัญชีไหนได้รับเงินมาเท่าไรไม่ต้องคำนึงถึงต้นทุน ค่าใช้จ่าย ให้นำเงินที่ได้รับนั้นมาเสียภาษี ๑๐ % เช่น สมาคมให้เช่าที่ดินได้รับเงินค่าเช่าที่ดิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาทตลอดปี ต้องเสียภาษี ๑๐ % คือ ๑๐๐,๐๐๐ บาท และเสียเพียงรอบบัญชีละหนึ่งครั้ง
        มูลนิธิที่เสียอัตราร้อยละ ๑๐ ก่อนหักรายจ่ายใด ๆ นั้นมีข้อยกเว้น หากเงินได้พึงประเมินที่ได้รับนั้นเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา ๔๐ (๘) จะเสียเพียง  % เท่านั้น เช่นสมาคมมีการขายสินค้า-ทรัพย์สิน เงินได้จากการขายสินค้า-ทรัพย์ (เงินได้ตามมาตรา ๔๐ (๘)) ให้เสียในอัตราร้อยละ ๒  เงินได้นอกจากนั้นตามมาตรา ๔๐ (๒), (๗) ต้องเสียอัตราร้อยละ ๑๐


นิติบุคคลต่างประเทศที่ประกอบกิจการขนส่งระหว่างประเทศ
        มาตรา ๖๗ การเสียภาษีตามความในส่วนนี้ ให้เสียตามอัตราที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราภาษีเงินได้ท้ายหมวดนี้ เว้นแต่ ในกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามมาตรา ๖๖ วรรคสอง กระทำกิจการขนส่งผ่านประเทศต่าง ๆ ให้เสียภาษีเฉพาะกิจการขนส่งตามเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
        (๑) ในกรณีรับขนคนโดยสาร ให้เสียภาษีในอัตราร้อยละ ๓ ของค่าโดยสาร ค่าธรรมเนียม และประโยชน์อื่นใดที่เรียกเก็บในประเทศไทยก่อนหักรายจ่ายใด ๆ เนื่องในการรับขนคนโดยสารนั้น
        (๒) ในกรณีรับขนของ ให้เสียภาษีในอัตราร้อยละ ๓ ของค่าระวาง ค่าธรรมเนียม และประโยชน์อื่นใดที่เรียกเก็บไม่ว่าในหรือนอกประเทศไทย ก่อนหักรายจ่ายใด ๆ เนื่องในการรับขนของออกจากประเทศไทยนั้น

บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามมาตรา ๖๖ วรรคสอง
        มาตรา ๖๖ วรรคสอง บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศและกระทำกิจการในที่อื่น ๆ รวมทั้งในประเทศไทย ให้เสียภาษีในกำไรสุทธิจากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำในประเทศไทยในรอบระยะเวลาบัญชี และการคำนวณกำไรสุทธิให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับมาตรา ๖๕ และมาตรา ๖๕ ทวิ แต่ถ้าไม่สามารถจะคำนวณกำไรสุทธิดังแล้วแล้วได้ ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการประเมินภาษีตามมาตรา ๗๑ (๑) มาใช้บังคับโดยอนุโลม
        นิติบุคคลต่างประเทศที่ประกอบกิจการขนส่งระหว่างประเทศ (ประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ)  ต้องเสียภาษีจากยอดรายได้ก่อนหักรายจ่ายใด ๆ ในอัตรา ๓ % ให้สังเกตว่าต้องเป็นนิติบุคคลต่างประเทศและประกอบกิจการขนส่งระหว่างประเทศ จึงจะเสียภาษีจากฐานรายได้ซึ่งคือค่าขนส่งและค่าโดยสาร ในอัตราร้อยละ ๓ และเสียรอบบัญชีละ ๑ ครั้ง
คำถาม                บริษัทการบินไทยประกอบกิจการการบินทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ รายได้จากการบินระหว่างประเทศจะต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ ๓ หรือไม่ ?
คำตอบ               ไม่ได้เสียภาษีในอัตราร้อยละ ๓ เพราะไม่ครบองค์ประกอบ คือ ไม่ได้เป็นนิติบุคคลต่างประเทศ (บริษัทการบินไทยเป็นนิติบุคคลของไทย) ดังนั้นจึงไม่ต้องเสียตามอัตราภาษีร้อยละ ๓ แต่ต้องเสียภาษีจากฐานกำไรสุทธิ (รอบบัญชีละ ๒ ครั้ง)
มาตรา ๖๗ มีข้อยกเว้นตามอนุสัญญาภาษีซ้อน
        สายการบินต่างประเทศที่มาประกอบธุรกิจการบินในประเทศไทย ตามปกติต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ ๓ จากเงินที่ได้จากการประกอบกิจการดังกล่าว แต่เมื่อดูอนุสัญญาภาษีซ้อน จะมีข้อยกเว้นว่า รายได้จากการเดินอากาศยานระหว่างประเทศคู่สัญญาได้รับยกเว้นภาษีในประเทศแหล่งเงินได้ ดังนั้นสายการบินต่าง ๆ ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี (ฉะนั้นกล่าวได้ว่าสายการบินส่วนใหญ่ไม่ต้องเสียภาษีให้กับประเทศไทยเนื่องจากมีอนุสัญญาภาษีซ้อน)
        การยกเว้นตามอนุสัญญาภาษีซ้อนนั้นยกเว้นให้เฉพาะรายได้จากการเดินอากาศยานระหว่างประเทศเท่านั้น หากเป็นรายได้จากการเดินเรือทะเลไม่ได้รับการยกเว้นภาษีแต่จะได้รับการลดอัตราภาษีครึ่งหนึ่งจากร้อยละ ๓ เป็นร้อยละ ๑.๕ ของค่าโดยสาร-ค่าขนส่ง

บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๗๑ (๑)
        มาตรา ๗๑ ในกรณีที่
        (๑) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใด ไม่ยื่นรายการซึ่งจำเป็นต้องใช้ในการคำนวณภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้ หรือมิได้ทำบัญชีหรือทำไม่ครบตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๑๗ หรือมาตรา ๖๘ ทวิ หรือไม่นำบัญชี เอกสาร หรือหลักฐานอื่นมาให้เจ้าพนักงานประเมินทำการไต่สวนตามมาตรา ๑๙ หรือมาตรา ๒๓ เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินภาษีในอัตราร้อยละ ๕ ของยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายใด ๆ หรือยอดขายก่อนหักรายจ่ายใด ๆ ของรอบระยะเวลาบัญชีแล้วแต่อย่างใดจะมากว่า ถ้ายอดรายรับก่อนหักรายจ่ายหรือยอดขายก่อนหักรายจ่ายดังกล่าวไม่ปรากฏ เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินโดยอาศัยเทียบเคียงกับยอดในรอบระยะเวลาบัญชีก่อนนั้นขึ้นไป ถ้ายอดในรอบระยะเวลาบัญชีก่อนนั้นขึ้นไปไม่ปรากฏให้ประเมินได้ตามที่เห็นสมควร


เหตุที่ต้องลงโทษ
๑.     ไม่ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษี
๒.     ไม่ทำบัญชีหรือทำแต่ไม่ครบตามที่มาตรา ๑๗ และมาตรา ๖๘ ทวิ กำหนด
๓.     ไม่นำบัญชีเอกสารหรือหลักฐานอื่นให้พนักงานประเมินทำการไต่สวนตามหมายเรียก ตามมาตรา ๑๙ และ ๒๓
        มี ๓ เหตุที่เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลจากฐานรายได้ก่อนหักรายจ่ายใด ๆ ในอัตราร้อยละ ๕  เพียงเหตุใดเหตุหนึ่งเจ้าพนักงานก็มีอำนาจประเมินจากฐานรายได้ก่อนหักรายจ่ายร้อยละ ๕ แล้ว
        ดังนั้นแม้กิจการขาดทุนก็สามารถถูกประเมินภาษีได้หากเข้าตามเงื่อนไขดังกล่าวมาแล้ว

เสียจากการจำหน่ายเงินกำไรไปต่างประเทศ (มาตรา ๗๐ ทวิ)
(ภาษีกำไรส่งออก)

        มาตรา ๗๐ ทวิ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใดจำหน่ายเงินกำไรหรือเงินประเภทอื่นใดที่กันไว้จากกำไรหรือที่ถือได้ว่าเป็นเงินกำไรออกไปจากประเทศไทย ให้เสียภาษีเงินได้โดยหักภาษีจากจำนวนเงินที่จำหน่ายนั้นตามอัตราภาษีเงินได้สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลแล้วนำส่งอำเภอท้องที่พร้อมกับยื่นรายการตามแบบที่อธิบดีกำหนดภายในเจ็ดวันนับแต่วันจำหน่าย
        การจำหน่ายเงินกำไรตามวรรคหนึ่งให้หมายความรวมถึง
        (๑) การจำหน่ายกำไร หรือเงินประเภทอื่นใดที่กันไว้จากกำไรหรือที่ถือได้ว่าเป็นเงินกำไร จากบัญชีกำไรขาดทุนหรือบัญชีอื่นใด ไปชำระหนี้หรือหักกลบลบหนี้ หรือไปตั้งเป็นยอดเจ้าหนี้ในบัญชีของบุคคลใด ๆ ในต่างประเทศ หรือ
        (๒) ในกรณีที่มิได้ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าวใน (๑) แต่ได้มีการขออนุญาตซื้อและโอนเงินตราต่างประเทศซึ่งเป็นเงินกำไรหรือเงินประเภทอื่นใดที่กันไว้จากกำไรหรือที่ถือได้ว่าเป็นเงินกำไร ออกไปต่างประเทศ หรือ
        (๓) การปฏิบัติอย่างอื่นซึ่งก่อให้เกิดผลตาม (๑) หรือ (๒)

ข้อควรจำ
          กำไรที่ได้ต้องเสียภาษีตามวิธีที่ ๑ คือจากฐานกำไรสุทธิ ซึ่งอัตราเดิมคือ ๒๓ % (๑ มกราคม – ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕) ตั้งแต่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ เป็นต้นไปใช้อัตรา ร้อยละ ๒๐ สำหรับบริษัทต่างประเทศเมื่อมีกำไรจากการประกอบธุรกิจในประเทศแล้วก็จะส่งกำไรออกไปต่างประเทศ กำไรที่ส่งออกไปนี้ต้องเสียภาษีตามมาตรา ๗๐ ทวิ อีก ๑๐ %
ดังนั้นสรุปได้ว่า
        บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเมื่อมีกำไร
๑.     ต้องเสียภาษีจากฐานกำไรสุทธิ
๒.     ต้องเสียภาษีตามมาตรา ๗๐ ทวิ อีก ๑๐ % เมื่อส่งกำไรออกไปต่างประเทศ
        ตัวอย่างเช่น บริษัท เลิศศักดิ์ จำกัด เป็นบริษัทที่จดทะเบียนที่ประเทศญี่ปุ่น แต่มาเปิดสาขาในประเทศไทย บริษัท เลิศศักดิ์ จำกัด ต้องเสียภาษีจากฐานกำไรสุทธิ ๒๓ % ในปี ๒๕๕๕ บริษัท เลิศศักดิ์ จำกัด มีกำไร ๑,๐๐๐ ล้านบาท ต้องเสียภาษีตามวิธีที่ ๑ อัตรา ๒๓ % เป็นเงิน ๒๓๐ ล้านบาท ที่เหลืออีก ๗๗๐ ล้านบาท หากไม่โอนไปต่างประเทศก็ไม่ต้องเสียภาษี แต่เมื่อมีการส่งไปต่างประเทศก็ต้องเสียภาษีตามมาตรา ๗๐ ทวิ หากโอนไป ๗๗๐ ล้าน ก็ต้องเสียในอัตรา ๑๐ % คือ ๗๗ ล้านบาท
วิธีหักภาษี ณ ที่จ่าย
        เป็นวิธีเสียภาษีทีกำหนดให้ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่คำนวณและหักภาษีและนำส่งกรมสรรพากรในขณะที่มีการจ่ายเงิน เช่น คนมีเงินเดือน (จะได้รับเงินเดือนไม่เต็มเพราะจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย) โดยนายจ้างจะคำนวณภาษีและหักเงินเดือนเอาไว้แล้วนำส่งกรมสรรพากร ซึ่งภาษีที่ถูกหักนั้นเป็นภาษีล่วงหน้า สิ้นปีผู้เสียภาษีต้องยื่นแบบและคำนวณภาษีทั้งปี จากนั้นให้เอาภาษีที่จ่ายไปแล้วมาหักออก (เครดิต) และหากถูกนายจ้างคำนวณภาษี ณ ที่จ่ายเกินไปก็มีสิทธิขอคืน (การเสียภาษี ณ ที่จ่ายเป็นการจ่ายภาษีล่วงหน้า)
        หากผู้จ่ายเงินได้ไม่ได้หักเงิน ณ ที่จ่าย ก็ต้องรับผิดเป็นลูกหนี้ร่วมกับผู้เสียภาษี กรมสรรพากรมีอำนาจประเมินเรียกเก็บภาษี ณ ที่จ่ายจากผู้จ่ายเงินได้นั้นได้ –เป็นหนี้ร่วมที่เกิดขึ้นโดยกฎหมาย
        กรณีการหักภาษี ณ ที่จ่าย ไม่ใช่ว่าผู้จ่ายเงินได้ทุกคนต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ผู้จ่ายฯ จะมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ต่อเมื่อมีกฎหมายกำหนดให้มีหน้าที่ หากไม่มีกฎหมายกำหนดก็ไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย
        กฎหมายที่ว่านั้นคือ ประมวลรัษฎากร ซึ่งกำหนดเอาไว้ ๓ มาตราคือ
*   มาตรา ๕๐ (ผู้มีเงินได้ที่เป็นบุคคลธรรมดา) ดูที่ผู้รับเงินว่าเป็นบุคคลธรรมดาหรือไม่ หากเป็นบุคคลธรรมดาก็ต้องหักภาษีฯ โดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้จ่ายจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล
*   มาตรา ๖๙ ทวิ (กรณีนิติบุคคลเป็นผู้มีเงินได้) ผู้จ่ายเงินจะต้องเป็นภาคราชการ (หักร้อยละ ๑) หักได้เฉพาะมาตรา ๔๐ (๒)-(๘) เหตุที่ไม่รวม มาตรา ๔๐ (๑) เพราะค่าจ้างมีได้เฉพาะบุคคลธรรมดา—หากเป็นรายได้ตามมาตรา ๔๐ (๑) ก็ต้องกลับไปเสียตามมาตรา ๕๐ (๑)
v ผู้จ่ายต้องเป็นภาคราชการ
v ผู้รับเงินต้องเป็นนิติบุคคล (บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล)
                   ภายใต้บังคับมาตรา ๗๐ หมายความว่า หากเป็นกรณีตามมาตรา ๗๐ แล้วจะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายตามมาตรา ๗๐ (ออกข้อสอบบ่อย)
*   มาตรา ๗๐ เป็นกรณีที่นิติบุคคลต่างประเทศไม่ได้เข้ามาประกอบกิจการในประเทศไทยแต่มีเงินได้จากประเทศไทย และเงินได้นั้นเป็นเงินได้ตามมาตรา ๔๐ (๒), (๓), (๔), (๕) และ (๖) ผู้จ่ายเงินต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ๑๕ % ของยอดเงินที่จ่าย เว้นแต่เงินปันผลให้หัก ๑๐ %
องค์ประกอบมาตรา ๗๐
v ผู้มีเงินได้หรือผู้รับเงินต้องเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ คือไม่ได้จดทะเบียนในประเทศไทย
v มิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย
v ได้รับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา ๔๐ (๒)-(๖) ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย
        หากเข้าองค์ประกอบครบถ้วนดังที่กล่าวมาแล้ว ผู้จ่ายเงินไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา ๑๕ % ของยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายใด ๆ เว้นแต่เงินปันผลที่ให้หักเพียง ๑๐ % (มาตรา ๗๐ เป็นข้อยกเว้นของมาตรา ๖๙ ทวิ)
        คำถาม                กระทรวงยุติธรรมทำสัญญากับ บริษัท เลิศศักดิ์ จำกัด ในประเทศไทยให้จัดหาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้กับกระทรวงฯ ค่าจ้าง ๑๐ ล้านบาท เวลากระทรวงยุติธรรมจ่ายเงินจะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายหรือไม่ ?
        คำตอบ               ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ๑ % เพราะว่า
Ø ผู้จ่ายเงินเป็นรัฐบาล (กระทรวงยุติธรรม) และ
Ø ผู้รับเงินเป็นบริษัทในประเทศไทย
        รายได้ตามตัวอย่างข้างต้นเป็นรายได้ตามมาตรา ๔๐ (๓) ค่าโปรแกรมคอมพิวเตอร์ถือเป็นค่าสิทธิ์อย่างหนึ่ง
        หากข้อเท็จจริงเปลี่ยนไปว่า บริษัท เลิศศักดิ์ อเมริกัน จำกัด ไม่ใช่บริษัทตามกฎหมายไทย และไม่ได้ประกอบกิจการในประเทศไทย แต่เป็นบริษัทตามกฎหมายต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรมจะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ ๑๕ เพราะผู้รับเงินไม่ใช่บริษัทไทย และมิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย มีรายได้ตามมาตรา ๔๐ (๓)
        หากบริษัท เลิศศักดิ์ อเมริกัน จำกัด ซึ่งอยู่ที่อเมริกาได้มาตั้งสาขาในประเทศไทย มีสำนักงานสาขาอยู่ในประเทศไทย และได้เข้าทำสัญญาให้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้แก่กระทรวงยุติธรรม เมื่อกระทรวงยุติธรรมจ่ายเงิน ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาทจะต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย เท่าไร?
        กรณีนี้ไม่เข้าตามมาตรา ๗๐ แต่เข้าตามมาตรา ๖๙ ทวิ จึงต้องเสียในอัตราร้อยละ ๑

*   มาตรา ๖๙ ตรี (เงินได้ตามมาตรา ๔๐ (๘) เฉพาะการขายอสังหาริมทรัพย์--จ่ายให้กรมที่ดินไม่ใช่สรรพากร)
v ร้อยละ๑
v รายละเอียดดังนี้
§  เงินได้ตามมาตรา ๔๐ (๘) เฉพาะการขายอสังหาริมทรัพย์
§  ผู้มีเงินได้คือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือบริษัท
§  ผู้จ่ายมีได้หลายคนคือ บุคคล ห้างหุ้นส่วน บริษัท สมาคม หรือคณะบุคคล
(หมายเหตุ : อาจารย์ให้ดูมาตรา ๓ เตรส (เต-ระ-สะ) ปล. ขี้เกียจเชื่อมโยงนะครับ)
คำถาม                บริษัท เลิศศักดิ์ จำกัด เช่าตึกแถวจากนาย ก. ซึ่งเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย ค่าเช่าเดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท เวลาจ่ายค่าเช่าให้นาย ก. บริษัทผู้จ่ายเงินต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายหรือไม่ ?
v ผู้รับเงินเป็นบุคคลธรรมดา ดูมาตรา ๕๐ (๓) ว่าใช้ได้หรือไม่ กรณีค่าเช่าเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา ๔๐ (๕) และได้จ่ายให้แก่ผู้รับเงินซึ่งมิได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย เมื่อนาย ก. เป็นผู้อยู่ในประเทศไทยจึงไม่มีการหักภาษี ณ ที่จ่าย ๑๕ %
v ดูมาตรา ๕๐ (๔) ก็ไม่เข้าเนื่องจากผู้จ่ายเงินไม่ใช่ภาคราชการ
v และในทุก ๆ อนุมาตราก็หักไม่ได้
v ดูคำสั่งของอธิบดีกรมสรรพากรที่อาศัยอำนาจตามมาตรา ๓ เตรส กำหนดให้หักภาษี ณ ที่จ่ายหรือไม่ ซึ่งคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป. ๔/๒๕๒๘[1]  ดูข้อที่ ๖ (๑)
v ดังนั้น บริษัทผู้จ่ายค่าเช่าต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ๕ % ของค่าเช่าที่จ่าย
·       ข้อสังเกตคือว่า ตามข้อ ๖ ของคำสั่งดังกล่าวนั้น บริษัทผู้เช่าต้องเป็นนิติบุคคล หากเป็นบุคคลธรรมดาไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย

        กรณีบุคคลธรรมดาจ่ายค่าเช่าให้บุคคลธรรมดาในประเทศไทย ไม่เข้ามาตรา ๕๐ (๓) เพราะต้องเช่าจากบุคคลที่มิได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย และไม่เข้า ข้อ ๖ ของคำสั่งกรมสรรพากรดังกล่าวเพราะผู้เช่ามิใช่นิติบุคคลและไม่ปรากฏตามคำสั่งดังกล่าวอีก จึงไม่ต้องเสียภาษี ณ ที่จ่าย
สรุปหลักการจ่ายภาษี ณ ที่จ่าย (หน้า ๕๒๑ ของอาจารย์)
๑.     ให้ศึกษาว่าการจ่ายเงินได้นั้น บทบัญญัติของประมวลรัษฎากรมาตรา ๕๐, ๖๙ ทวิ, ๖๙ ตรี และ ๗๐ กำหนดให้หักภาษี ณ ที่จ่ายหรือไม่ ? หากกำหนดไว้ก็ให้หักไปตามนั้น
๒.     หากไม่กำหนดให้หักภาษี ณ ที่จ่ายก็ให้ดูคำสั่งที่ ท.ป. ๔/๒๕๒๘ ว่ากำหนดให้หักภาษี ณ ที่จ่ายหรือไม่ หากกำหนดให้หักก็ให้หักตามนั้น
๓.     หากไม่มีการกำหนดไว้ใน  ๑. และ ๒. แสดงว่าไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย
๔.     หากเป็นกรณีผู้มีเงินได้ไม่ต้องเสียภาษีหรือได้รับยกเว้นภาษี ผู้จ่ายเงินได้ก็ไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย แม้จะเข้าหลักเกณฑ์ตามข้อ ๑. หรือ ๒. ก็ตามหากผู้รับเงินไม่ใช่ผู้มีหน้าที่ต้องเสียภาษีหรือได้รับยกเว้น ผู้จ่ายเงินก็ไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย เช่น จ่ายเงินให้กับมูลนิธิสมาคมที่เป็นองค์การสาธารณกุศลตามประกาศของกระทรวงการคลัง ไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย เพราะมูลนิธิสมาคมดังกล่าวไม่ถือเป็นบริษัท ไม่ต้องเสียภาษี หรือกรณีได้รับยกเว้นภาษีเช่น ผู้ถือหุ้นในบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ฯ เงินปันผลได้รับการยกเว้นภาษี ดังนั้นบริษัทผู้จ่ายเงินปันผลไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย

วิธีประเมินโดยเจ้าพนักงานประเมิน

        ตามมาตรา ๑๙-๒๗ โดยทั่วไปจะมีการออกหมายเรียก วิธีนี้เป็นสภาพบังคับโดยให้อำนาจพนักงานประเมิน และเป็นวิธีที่มีโทษคือผู้มีหน้าที่ต้องเสียภาษีต้องเสียภาษีเพิ่มเป็นเบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม และมีโทษทางแพ่ง รวมถึงอาจมีโทษทางอาญา





[1] ดูเอกสารแนบท้าย

1 ความคิดเห็น:

  1. สามารถแสดงความคิดเห็นกันได้นะครับ สำหรับบล็อกนี้ลิขสิทธิ์เป็นของเจ้าของบล็อกนะครับ เพราะเป็นงานที่ที่ได้ริเริ่มขึ้นเอง ไม่ได้ไปลอกเลียนใครมา เพียงแต่ฟังคำบรรยายแล้วนำมาถอดในลักษณะพิเศษ แต่ผู้เยี่ยมชมสามารถนำเอกสารชุดนี้ไปตัดต่อ เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมได้ตามสบายนะครับ อนุญาตเต็มที่เลย

    ตอบลบ

เห็นกันอย่างไร เสนอความเห็นกันหน่อยเร็ว !!!!!