ประกาศจากแอดมิน



กำลังปรับปรุงนะครับ อีกสักพักคงได้พบกับ
Spiderlaw แบบเต็มรูปแบบครับ

วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ภาษีอากร ตอนที่ ๓ ศ.(พิเศษ) ชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม


กฎหมายภาษี (ปกติ) เนติบัณฑิตยสภา ภาคหนึ่ง สมัย ๖๗
บรรยายโดย ศาสตราจารย์ชัยสิทธิ์  ตราชูธรรม
๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๕
การเสียภาษีจากฐานกำไรสุทธิ

        บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลโดยส่วนใหญ่จะเสียจากฐานกำไรสุทธิ ซึ่งจะเสียรอบระยะเวลาบัญชีละ ๒ ครั้ง ครั้งที่หนึ่ง เสียภายในสองเดือนนับจากวันครบหกเดือนแรกของรอบระยะเวลาบัญชี ครั้งที่สอง เสียภายใน ๑๕๐ วันนับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี
        รอบระยะเวลาบัญชี หมายถึงระยะเวลา ๑๒ เดือน ซึ่งไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นและสิ้นสุดตามระยะเวลาปฏิทิน (ไม่จำเป็นต้องเหมือนกับปีภาษี—๑ มกราคม – ๓๑ ธันวาคม) แต่บริษัทในประเทศไทยส่วนใหญ่จะเริ่มต้นตามปีปฏิทิน แต่บริษัทญี่ปุ่นในไทยจะเริ่มต้น ๑ เมษายน ส่วนบางบริษัทจะเริ่มต้นตามฤดูกาลเช่น บริษัทผลิตน้ำตาล เริ่มต้น ๑ กรกฎาคม หรืออาจเริ่มต้นและสิ้นสุดตามปีงบประมาณแผ่นดินก็ได้ (กฎหมายไม่กำหนดว่าจะต้องเริ่มต้นเมื่อใด)

วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ภาษีเงินได้นิติบุคคล ตอนที่ ๒


กฎหมายภาษี (ปกติ) เนติบัณฑิตยสภา ภาคหนึ่ง สมัย ๖๕
บรรยายโดย ศาสตราจารย์ชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม

๖ มิถุนายน ๒๕๕๕
วิธีเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล

ประมวลรัษฎากร ได้กำหนดวิธีเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลไว้ ๕ วิธี
๑.     การเสียจากฐานกำไรสุทธิ
๒.     เสียจากฐานรายได้ก่อนหักรายจ่ายใด ๆ
๓.     เสียจากการจำหน่ายเงินกำไรไปต่างประเทศ
๔.     วิธีหักภาษี ณ ที่จ่าย
๕.     วิธีประเมินโดยเจ้าพนักงานประเมิน
ฐานรายได้ก่อนหักรายจ่ายใด ๆ
มูลนิธิหรือสมาคมที่มิใช่องค์การสาธารณกุศล
        มูลนิธิหรือสมาคมที่มิใช่องค์การสาธารณกุศล ตามประกาศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังถือเป็นบริษัท ต้องเสียจากฐานรายได้ก่อนหักรายจ่ายใด ๆ ในอัตรา   ๑๐ % โดยไม่คำนึงว่าจะมีกำไร-ขาดทุน รอบบัญชีไหนได้รับเงินมาเท่าไรไม่ต้องคำนึงถึงต้นทุน ค่าใช้จ่าย ให้นำเงินที่ได้รับนั้นมาเสียภาษี ๑๐ % เช่น สมาคมให้เช่าที่ดินได้รับเงินค่าเช่าที่ดิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาทตลอดปี ต้องเสียภาษี ๑๐ % คือ ๑๐๐,๐๐๐ บาท และเสียเพียงรอบบัญชีละหนึ่งครั้ง
        มูลนิธิที่เสียอัตราร้อยละ ๑๐ ก่อนหักรายจ่ายใด ๆ นั้นมีข้อยกเว้น หากเงินได้พึงประเมินที่ได้รับนั้นเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา ๔๐ (๘) จะเสียเพียง  % เท่านั้น เช่นสมาคมมีการขายสินค้า-ทรัพย์สิน เงินได้จากการขายสินค้า-ทรัพย์ (เงินได้ตามมาตรา ๔๐ (๘)) ให้เสียในอัตราร้อยละ ๒  เงินได้นอกจากนั้นตามมาตรา ๔๐ (๒), (๗) ต้องเสียอัตราร้อยละ ๑๐

วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

รับสมัครบทความ ฟรี


ประกาศจากนายแมงมุม

หากผู้เยี่ยมชมท่านใดต้องการจะสมัครรับบทความจากนายแมงมุมสามารถส่งอีเมล์แจ้งความประสงค์มาได้ที่ pitakkits@hotmail.com ซึ่งจะรับบทความทั้งหมดหรือเฉพาะเรื่องก็ได้นะครับ เนื่องจากทางบล็อกมีเนื้อหาค่อนข้างน้อย แต่หากมีผู้สนใจทางบล็อกก็จะเร่งทำให้
การให้บริการนี้ไม่คิดค่าบริการใด ๆ นะครับ

เงื่อนไขกำกับการจ่ายเงินและเงื่อนไขจำกัดความรับผิด


เงื่อนไขกำกับการจ่ายเงินและเงื่อนไขจำกัดความรับผิด
นายแมงมุม

       เหตุที่ผู้เขียนได้เขียนบทความสั้น ๆ นี้ขึ้นมาเนื่องจากช่วงที่ผ่านมาการสอบกลางภาควิชาตั๋วเงินทำให้ผมเกิดความสับสนว่าเงื่อนไขทั้งสองอย่างนี้มันต่างกันอย่างไร ดังนั้นบทความสั้น ๆ นี้จะสรุปว่าเงื่อนไขทั้งสองประการมีความต่างกันอย่างไรและขณะเดียวกันหากมีเงื่อนไขเหล่านั้นแล้วจะส่งผลต่อตั๋วเงินอย่างไร ในกรณีนี้จะศึกษาเฉพาะในเรื่องเช็ค

คำสั่งอันปราศจากเงื่อนไขในการใช้เงิน

รายการในเช็ค

        มาตรา ๙๘๘ อันเช็คนั้น ต้องมีรายการดังกล่าวต่อไปนี้ คือ
(๑) คำบอกชื่อว่าเป็นเช็ค
(๒) คำสั่งอันปราศจากเงื่อนไขให้ใช้เงินเป็นจำนวนแน่นอน

        ที่ว่าต้องเป็น “คำสั่งอันปราศจากเงื่อนไขให้ใช้เงินเป็นจำนวนแน่นอน” นั้น เฉพาะในส่วนที่ว่าต้องปราศจากเงื่อนไขนั้นสามารถสรุปได้ดังนี้
        เงื่อนไขที่ว่านั้น คือเงื่อนไขที่ผู้รับเงินอาจได้รับเงินหรือไม่ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์อันไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต[1] เช่น ให้ธนาคารใช้เงินให้แก่นายหนึ่งจำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท เมื่อนายหนึ่งมีบุตรเป็นผู้ชาย เช่นนี้ถือเป็นคำสั่งอันมีเงื่อนไข ซึ่งหากตราสารใดไม่มีรายการครบถ้วนตามมาตรา ๙๘๘ ตราสารดังกล่าวย่อมไม่สมบูรณ์เป็นเช็คตามมาตรา ๙๘๙

        คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๖๕๘/๒๕๔๘ เช็คพิพาททั้งสองฉบับจำเลยเพียงแต่ลงลายมือชื่อสั่งจ่าย โดยไม่ได้กรอกข้อความและจำนวนเงินไว้ เช็คพิพาททั้งสองฉบับดังกล่าวจึงมีรายการขาดตกบกพร่องในขณะออกเช็ค โดยไม่มีคำสั่งปราศจากเงื่อนไขให้ใช้เงินเป็นจำนวนแน่นอนตาม      ป.พ.พ. มาตรา 988 (2) จึงไม่สมบูรณ์เป็นเช็คตาม ป.พ.พ. มาตรา 987 และมาตรา 910 ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง ทั้งเช็คพิพาททั้งสองฉบับก็มิใช่หลักฐานการกู้เงินตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรับผิดตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับได้

        รองศาสตราจารย์สหธน  รัตนไพจิตร ให้ความเห็นว่าเงื่อนไขการใช้เงินนั้นรวมถึงการกระทำที่ต้องกระทำก่อนจะใช้เงินด้วย[2]เช่น แดงอยู่เชียงใหม่สั่งซื้อสินค้าจากขาวซึ่งอยู่ที่ปัตตานีในการซื้อสินค้านี้แดงได้ออกตราสารสั่งธนาคารใช้เงินจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาทให้ขาว โดยระบุไว้ในคำสั่งใช้เงินว่า “โปรดใช้เงินจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาทให้ขาวเมื่อขาวได้ส่งสินค้าขึ้นรถบรรทุกเรียบร้อยแล้ว” ดังนี้หากขาวไม่ขนสินค้า ธนาคารก็ไม่ต้องจ่ายเงิน คำสั่งดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งอันมีเงื่อนไขในการใช้เงิน ทำให้ตราสารไม่สมบูรณ์เป็นตั๋วเงิน
       
เงื่อนไขจำกัดความรับผิด

        มาตรา ๙๑๕ ผู้สั่งจ่ายตั๋วแลกเงินและผู้สลักหลังคนใด ๆ ก็ดี จะจดข้อกำหนดซึ่งจะกล่าวต่อไปนี้ลงไว้ชัดแจ้งในตั๋วนั้นก็ได้ คือ
(๑) ข้อกำหนดลบล้างหรือจำกัดความรับผิดของตนเองต่อผู้ทรงตั๋วเงิน

        มาตรา ๙๑๕ อนุโลมมาใช้ในเช็คตามมาตรา ๙๘๙ ด้วย ดังนั้นหมายความว่า หากเขียนข้อกำหนดลบล้างหรือจำกัดความรับผิดของผู้สั่งจ่ายลงไปในเช็คสามารถกระทำได้และมีผลบังคับตามกฎหมาย ตัวอย่างเช่น
        จากกรณีเดิม ข้อเท็จจริงเปลี่ยนเป็น “แดงจะรับผิดตามตั๋วเมื่อขาวได้ส่งสินค้าขึ้นรถบรรทุกเรียบร้อยแล้ว”[3] เช่นนี้สามารถกระทำได้และมีความสมบูรณ์เป็นเช็คเพราะคำสั่งดังกล่าวนั้นไม่ได้เป็นคำสั่งที่มีเงื่อนไขในการใช้เงิน

        รองศาสตราจารย์สหธน  รัตนไพจิตร ได้ให้ข้อสังเกตว่า การจำกัดความรับผิดตามมาตรา ๙๑๕ นั้นเป็นเรื่องที่พิจารณาจากคำสัญญาของผู้สั่งจ่ายโดยพิจารณาด้านผู้สั่งจ่ายอย่างเดียวว่าผู้สั่งจ่ายจะต้องรับผิดเมื่อใด หรือไม่ต้องรับผิดเมื่อใด แต่เงื่อนไขการใช้เงินนั้นเป็นคำสั่งของผู้สั่งจ่ายสั่งไปยังธนาคารผู้จ่ายว่าให้ใช้เงินได้เมื่อมีเงื่อนไขอะไรบ้าง[4]


ดังนั้นสรุปได้ดังนี้
๑.     เงื่อนไขกำกับการใช้เงินคือ กำหนดว่าธนาคารจะต้องใช้เงินเมื่อใด ซึ่งทำให้ตราสารไม่สมบูรณ์เป็นเช็ค

๒.     เงื่อนไขจำกัดความรับผิดคือ เงื่อนไขที่กำหนดว่าผู้สั่งจ่ายจะต้องรับผิดเมื่อใด

ตัวอย่างเปรียบเทียบ

นายหนึ่งสั่งธนาคารให้ใช้เงินจำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาทแก่นายสอง โดยมีเงื่อนไขดังนี้
๑.     ธนาคารจะใช้เงินให้แก่นายสองต่อเมื่อนายสองได้ส่งมอบสินค้าแก่ผู้ขนส่งแล้ว
๒.     นายหนึ่งจะต้องรับผิดต่อนายสองเมื่อนายสองได้ส่งมอบสินค้าแก่ผู้ขนส่งแล้ว

        กรณีตาม ๑. เป็นเงื่อนไขตาม ๙๘๘ (๒) ทำให้ไม่สมบูรณ์เป็นเช็ค แต่ตัวอย่างตาม ๒. เป็นเรื่องของมาตรา ๙๑๕ (๑) มีผลบังคับได้



หมายเหตุ : หากเอกสารชุดนี้มีความบกพร่องประการใด กรุณาแสดงความคิดเห็นได้ที่ http://spiderlaw.blogspot.com  หรือส่งอีเมล์มาที่ pitakkits@hotmail.com


[1] กองทุนศาสตราจารย์จิตติ  ติงศภัทิย์, คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เรียงมาตรา ว่าด้วยตั๋วเงิน เล่ม ๒
(มาตรา ๙๘๙ – ๑๐๑๑), สหธน  รัตนไพจิตร, (มกราคม ๒๕๕๕), หน้า ๕๓๑

[2] เพิ่งอ้าง, หน้า ๕๓๒

[3] เพิ่งอ้าง, หน้า ๕๓๓
[4] เพิ่งอ้าง, หน้าเดียวกัน


วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

วิ.อาญา อ.ธานี วันที่ 26 มกรา part 2


บันทึกคำบรรยายเนติบัณฑิตยสภา ภาคสอง สมัย ๖๕
วิชา กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ภาค ๓-๔ (ค่ำ)
บรรยายโดย อ.ธานี  สิงหนาท
๒๖ มกราคม ๒๕๕๖  (ตอนที่ ๒)
การจัดหาทนายความให้จำเลย
            มาตรา ๑๗๓  ในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต หรือในคดีที่จำเลยมีอายุไม่เกินสิบแปดปีในวันที่ถูกฟ้องต่อศาล ก่อนเริ่มพิจารณาให้ศาลถามจำเลยว่ามีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มีก็ให้ศาลตั้งทนายความให้
          ในคดีที่มีอัตราโทษจำคุก ก่อนเริ่มพิจารณาให้ศาลถามคำให้การจำเลยว่ามีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มีและจำเลยต้องการทนายความ ก็ให้ศาลตั้งทนายความให้
หลักเกณฑ์
๑.      คดีที่มีความร้ายแรง (ประหารชีวิต) หรือคดีที่เป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปีในวันที่ถูกฟ้องต่อศาล ศาลต้องถามจำเลย และต้องจัดหาทนายความให้จำเลยหากจำเลยไม่มี หากไม่จัดให้ถือว่าเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบ หากศาลต้นพบเองก็เพิกถอนเองตาม มาตรา ๒๗ ป.วิ.พ. ประกอบ มาตรา ๑๕ ป.วิ.อ. แต่หากเป็นศาลสูงพบต้องใช้ มาตรา ๒๐๘(๒) ให้พิพากษาสั่งให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
๒.     คดีธรรมดา (อัตราโทษจำคุก) มีสองคำถามดังนี้
·        มีทนายความหรือไม่ ?
·        ต้องการทนายความหรือไม่ ?
            การฝ่าฝืนมาตรา ๑๗๓ ไม่มีกฎหมายเขียนกำหนดโทษเอาไว้ เหมือนกรณีของมาตรา ๑๓๔/๑ ที่บัญญัติห้ามมิให้รับฟัง (จะรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้) เอาไว้ในมาตรา ๑๓๔/๔ วรรคท้าย ดังนั้นหากมีการฝ่าฝืนมาตรา ๑๗๓ จะมีผลเป็นอย่างไร
            กรณีดังกล่าวถือว่าเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบหากศาลชั้นต้นเห็นก็อาจใช้การเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบตามมาตรา ๒๗ ป.วิ.พ. ประกอบมาตรา ๑๕ ป.วิ.อ. แต่หากเป็นศาลสูงพบก็ต้องใช้มาตรา ๒๐๘ (๒) ถือว่าคำให้การดังกล่าวเป็นอันเสียไป ไม่มีผลผูกพันจำเลย
            เช่นเดียวกับกรณีการเบิกความโดยไม่ได้สาบานตนก่อนก็ไม่มีบทตัดพยานโดยเฉพาะ ดังนั้นต้องใช้บททั่วไปตามมาตรา ๘๖ ป.วิ.พ. ถือเป็นการสืบพยานโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายรับฟังไม่ได้

การพิจารณาคดี (ต้องดูตาม ป.วิ.พ.)
            มาตรา ๑ (๘) การพิจารณา หมายความว่า กระบวนพิจารณาทั้งหมดในศาลใดศาลหนึ่ง ก่อนศาลนั้นชี้ขาดตัดสินหรือจำหน่ายคดีโดยคำพิพากษาหรือคำสั่ง
          การถามคำให้การ ถือว่าเป็นการพิจารณาคดี ดังนั้นศาลจะถามคำให้การจำเลยโดยไม่ได้ถามจำเลยเรื่องทนายความไม่ได้ หากถามคำให้การไปโดยปราศจากการจัดหาทนายความให้และจำเลยรับสารภาพโดยไม่มีทนายความถือว่าคำรับสารภาพนั้นเป็นอันเสียไป ไม่มีผลผูกพันจำเลย ศาลชั้นต้นต้องเพิกถอน
คำถาม                   :  หากจำเลยเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเช่น เป็นอาจารย์สอนกฎหมาย หากไม่มีทนายความและเป็นคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต ต้องจัดหาทนายความให้หรือไม่ ?
ตอบ            :  ต้องจัดหาให้เสมอ  แม้จำเลยไม่ต้องการก็ต้องตั้งให้ (ศาลต้องตั้งให้แต่จำเลยจะใช้ทนายความหรือไม่เป็นเรื่องของจำเลย)
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๐๑๗/๒๕๔๑ วิธีการตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความ อาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 20เป็นการดำเนินการในชั้นสอบสวนและการพิจารณาคดีในชั้นศาลการที่ศาลถามผู้ ต้องหาหรือจำเลยว่าจะให้การประการใดตามความในมาตรา 20 ดังกล่าว ถือเป็นการพิจารณา และตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 วรรคสองบัญญัติว่า ก่อนเริ่มพิจารณาให้ศาลถามจำเลยว่ามีทนายหรือไม่ดังนั้น ก่อนเริ่มพิจารณาหรือก่อนเริ่มการพิจารณาสอบถามผู้ต้องหาหรือจำเลยว่าจะให้ การประการใด ศาลจะต้องสอบถามเรื่องทนายจำเลยเสียก่อนเท่านั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 วรรคสองประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 หากศาลมิได้สอบถามเรื่องทนายจำเลย แต่ก้าวล่วงไปถึงการพิจารณาสอบถามคำให้การของจำเลยจึงเป็นการมิชอบ
พิจารณา
๑.     พนักงานอัยการโจทก์ว่าจำเลยยักยอกทรัพย์
๒.    ศาลชั้นต้นสอบถามคำให้การจำเลยก่อนสอบถามเรื่องทนายความ จำเลยได้ให้การรับสารภาพ หลังจากนั้นศาลชั้นต้นตัดสินลงโทษตามฟ้อง ลงโทษจำคุก ๑ เดือน จำนวน ๓๔ กระทง เป็น ๓๔ เดือน จำเลยรับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือ ๑๗ เดือน
๓.    มีปัญหาสู่ศาลสูงว่า “คำรับสารภาพก่อนมีทนายความ” รับฟังลงโทษจำเลยได้หรือไม่ ?
๔.    ศาลสูงตัดสินว่า การถามคำให้การจำเลยถือเป็นกระบวนพิจารณาอย่างหนึ่ง ศาลจะสอบถามคำให้การก่อนสอบถามเรื่องทนายความไม่ได้ ดังนั้นจึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ ดังนั้นการตัดสินลงโทษจำเลยจึงไม่ชอบ ศาลสูงจึงยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ย้อนให้ศาลชั้นต้นกลับไปสอบถามเรื่องทนายความใหม่ ก่อนสอบถามคำให้การ
หากไม่ใช่คำรับสารภาพแต่เป็นสิ่งอื่นรับฟังได้หรือไม่ ?
            คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๗๑/๒๕๐๙ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 บัญญัติให้ศาลสอบถามจำเลยเรื่องทนาย ถ้าจำเลยไม่มีทนาย และจำเลยต้องการ ก็ให้ศาลตั้งทนายให้จำเลยเสียก่อนเริ่มพิจารณาถ้าศาลสอบถามคำให้การจำเลย ก่อนสอบถามเรื่องทนายก็ย่อมเป็นการไม่ชอบ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ในเมื่อศาลฎีกาเห็นว่าไม่มี เหตุอันสมควรที่จะให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่
            ประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 บัญญัติขึ้นเพื่อให้จำเลยมีทนายต่อสู้คดีที่เป็นความผิดอุกฉกรรจ์ มีอัตราโทษจำคุกตามที่ระบุไว้ มิใช่หมายความรวมถึงโทษที่จำเลยจะพึงได้รับจากการเพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบด้วย การที่จำเลยจะถูกเพิ่มโทษหรือไม่ เป็นคนละส่วนกับกรณีความผิดที่จำเลยถูกฟ้องร้อง ฉะนั้น แม้จำเลยจะให้การก่อนที่ศาลสอบถามจำเลยเรื่องทนาย คำให้การนั้นก็ไม่เสียไป ทั้งตามรูปคดีก็ไม่มีเหตุน่าสงสัยว่าคำให้การของจำเลยในข้อนี้จะไม่เป็นความ จริง คำรับของจำเลยในข้อเคยต้องโทษและพ้นโทษ จึงรับฟังเพื่อเพิ่มโทษจำเลยได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 10-11/2509)


พิจารณาดังนี้
๑.    โจทก์ฟ้องว่าจำเลยชิงทรัพย์และกล่าวในฟ้องว่าจำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ต้องลงโทษ ๖ เดือนในความผิดฐานรับของโจร และภายในเวลาห้าปีหลังพ้นโทษจำเลยได้กลับมากระทำความผิดในคดีหลังอีก จึงขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์และเพิ่มโทษจำเลยตามมาตรา ๙๒ ป.อ.
๒.    ในวันนัดพร้อม ศาลได้สอบถามจำเลย จำเลยปฏิเสธแต่รับว่าเคยต้องโทษตามฟ้องจริง โดยศาลไม่ได้สอบถามจำเลยเรื่องทนายความ ศาลชั้นต้นก็ได้นัดสืบพยานโจทก์
๓.    ในวันนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก จำเลยได้ตั้งทนายความซักค้านโจทก์
๔.    ศาลตัดสินว่า แม้ศาลจะฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา ๑๗๓ วรรคแรก และวรรคสอง แต่หากในวันสืบพยานโจทก์นัดแรก จำเลยมีทนายความมาซักค้านพยานโจทก์และช่วยการต่อสู้คดีแล้ว การดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นที่ไม่ได้ตั้งทนายความให้จำเลย ก็ไม่ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย เพราะจำเลยมีทนายความต่อสู้คดีมาตั้งแต่เริ่มต้น
๕.    ศาลสูงจึงไม่ต้องเพิกถอน การสืบพยานโจทก์จึงไม่ขัดต่อกฎหมาย
๖.    ศาลจะเพิ่มโทษจำเลยได้หรือไม่ ?
·        มาตรา ๑๗๓ มุ่งคุ้มครองเฉพาะข้อหาตามที่โจทก์ฟ้องเท่านั้น ไม่รวมถึงคำขอตามที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษจำเลย ดังนั้นคำรับว่าเคยต้องโทษก่อนมีทนายจึงฟังได้
          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๓๖๖/๒๕๔๔ โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาฐานผลิตเมทแอมเฟตามีนเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยา เสพติดให้โทษฯ มาตรา 65 วรรคสอง ซึ่งมีโทษสถานเดียวคือประหารชีวิต ในวันนัดสอบคำให้การจำเลย ศาลชั้นต้นสอบถามจำเลยเรื่องทนายความ จำเลยแถลงไม่ต้องการทนายความไม่ขอต่อสู้คดี โดยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาไว้และเลื่อนไปนัดสืบพยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพของจำเลย โดยไม่ได้ตั้งทนายความให้แก่จำเลย เมื่อถึงวันนัด ศาลชั้นต้นได้สืบพยานโจทก์ไปสองปาก โดยจำเลยไม่มีทนายความต่อมาศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ดำเนินมาแล้วทั้งหมดและมีหนังสือตั้งทนายความให้แก่จำเลย กับเลื่อนคดีไปนัดสืบพยานโจทก์ใหม่ ในวันนัดสืบพยานโจทก์ใหม่ ศาลชั้นต้นไม่ได้ให้พยานโจทก์ทั้งสองปากที่เบิกความตอบโจทก์ซึ่งศาลชั้นต้น มีคำสั่งให้เพิกถอนเพราะเป็นการผิดระเบียบไปแล้ว เข้าเบิกความตอบคำซักถามของโจทก์ใหม่ เพียงแต่ให้ทนายจำเลยถามค้านพยานโจทก์ทั้งสองปากนี้ต่อไปเลยเท่านั้น ดังนี้ การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น เป็นการไม่ชอบและการที่ศาลล่างทั้งสองดำเนินกระบวนพิจารณาและมีคำพิพากษาใน คดีนี้ต่อมาจึงเป็นการไม่ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้ไม่มีคู่ความ ฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นว่ากล่าวและเห็นควรแก้ไขโดยย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้น ดำเนินกระบวนพิจารณาเสียใหม่ให้ถูกต้อง
อย่างไรจึงจะถูกต้อง ?
          คือต้องให้พยานโจทก์ทั้งสองมาเบิกความใหม่หมด คือเริ่มต้นตั้งแต่เริ่มต้นเลย

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๒๖๐/๒๕๔๘ ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงฯ มาตรา 4 และ ป.วิ.อ. มาตรา 173 วรรคสอง เป็นบทบัญญัติที่ให้ความคุ้มครองแก่จำเลยในการพิจารณาคดีของศาลคดีนี้เป็น คดีที่มีอัตราโทษจำคุก เมื่อจำเลยไม่มีและแถลงต้องการทนายความ จึงเป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นที่ต้องตั้งทนายความให้ก่อนเริ่มพิจารณา การที่ศาลชั้นต้นดำเนินคดีไปโดยจำเลยไม่มีทนายความแล้วพิพากษาลงโทษจำเลย จึงเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณาอันเป็น กระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยแม้จำเลยไม่ ได้ยกขึ้นอุทธรณ์หรือฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้โดยให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณา พิพากษาใหม่ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 208 (2) ประกอบด้วยมาตรา 225

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๐๖๔/๒๕๓๕ ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา173 วรรคสอง มีเจตนารมณ์ เพื่อให้จำเลยมีทนายช่วยเหลือในการต่อสู้คดีที่เป็นความผิดอุกฉกรรจ์ มีอัตราโทษจำคุกตามอัตราที่ระบุไว้ แม้ก่อนเริ่มพิจารณาศาลชั้นต้นจะมิได้สอบถามจำเลยว่าต้องการทนายที่ศาลจะตั้งให้หรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อปรากฏว่าก่อนเริ่มสืบพยานโจทก์จำเลยได้แต่งตั้งทนายเข้ามาเองพร้อมกับยื่นคำให้การปฏิเสธและทนายจำเลยได้ว่าความให้จำเลยมาตลอด ย่อมไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบในการต่อสู้คดีแต่อย่างใด จึงไม่มีเหตุอันสมควรที่จะให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่

สรุปหลักเกณฑ์มาตรา ๑๗๓
            ศาลต้องสอบถามเรื่องทนายความก่อนสอบถามเรื่องอื่น ๆ หากไม่ได้สอบถามเรื่องทนายความและได้สอบถามคำให้การไปถือว่าคำให้การนั้นเสียไป หากเป็นคำรับสารภาพก็เสียไป แต่หากเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับฟ้องโดยตรงเช่นการรับว่าเคยต้องโทษซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการเพิ่มโทษ แม้จะได้สอบถามตอนที่จำเลยไม่มีทนายความก็รับฟังได้
ขั้นตอนต่อไปในการพิจารณา (หลังจากที่สอบถามเรื่องทนายความแล้ว)
มาตรา ๑๗๒ วรรคสอง
          เมื่อโจทก์หรือทนายโจทก์และจำเลยมาอยู่ต่อหน้าศาลแล้ว และศาลเชื่อว่าเป็นจำเลยจริง ให้อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง และถามว่าได้กระทำผิดจริงหรือไม่ จะให้การต่อสู้อย่างไรบ้าง คำให้การของจำเลยให้จดไว้ ถ้าจำเลยไม่ยอมให้การ ก็ให้ศาลจดรายงานไว้และดำเนินการพิจารณาต่อไป
สามารถแยกคำให้การของจำเลยได้สองแบบคือ
๑.    คำให้การรับสารภาพ
๒.    คำให้การปฏิเสธ
คำให้การรับสารภาพ
          คำให้การของจำเลยต้องชัดแจ้งว่ากระทำความผิดตามฟ้องจริง หากไม่ชัดแจ้งก็เป็นหน้าที่โจทก์ที่จะต้องกระทำให้ถูกต้อง เช่น โจทก์ต้องนำสืบให้เห็นได้ชัด
            คำให้การที่ไม่ชัดแจ้งเช่น ระเบิดนั้นไม่ใช่ของจำเลย แต่เพื่อให้ไม่เป็นการยุ่งยากจำเลยขอรับสารภาพ ไม่ถือว่าเป็นคำรับสารภาพ เช่นนี้เป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำสืบพยาน
            คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๓๑๘/๒๕๒๓ คำให้การของจำเลยที่ยื่นต่อศาลมีความว่า "คดีนี้ข้อเท็จจริงจำเลยเป็นลูกจ้างตัดไม้ ได้อาศัยรถยนต์คันเกิดเหตุไป ในระหว่างจับกุมวัตถุระเบิดมีผู้ต้องหา 3 คนผู้ต้องหาอีก 2 คนบอกให้จำเลยรับสารภาพแล้วจะช่วยเหลือเรื่องเงินทอง ด้วยความไม่รู้เท่าถึงการจำเลยจึงได้รับสารภาพ ความจริงแล้วระเบิดทั้งสองลูกไม่ใช่ของจำเลย แต่เพื่อไม่ให้ยุ่งยากแก่คดีจำเลยขอรับสารภาพตลอดข้อหาไม่ขอต่อสู้คดี" ดังนี้ ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นคำให้การที่รับสารภาพว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริงตามที่ โจทก์ฟ้อง เมื่อโจทก์ไม่สืบพยานจึงลงโทษจำเลยตามฟ้องไม่ได้
            กรณีมีฟ้องหลายข้อหาและจำเลยรับสารภาพหากไม่ปรากฏว่าจำเลยรับสารภาพในข้อหาใดโจทก์ต้องสืบให้เป็นที่แน่ชัด เช่น โจทก์ฟ้องว่าจำเลยลักทรัพย์หรือรับของโจร จำเลยรับสารภาพทุกข้อหา เช่นนี้โจทก์ต้องสืบให้ได้ความว่า จำเลยรับสารภาพในความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร
            คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๗๔๒/๒๕๔๔ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร ย่อมแสดงว่าโจทก์ประสงค์ให้ศาลลงโทษจำเลยในข้อหาใดข้อหาเดียวเท่านั้น การที่จำเลยให้การรับสารภาพผิดตามฟ้องโจทก์ทุกประการจึงเป็นคำรับสารภาพที่ ไม่สามารถรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดในข้อหาใดโจทก์จึงต้องนำพยานเข้าสืบ เพื่อให้ได้ความว่าจำเลยกระทำผิดในข้อหาใดข้อหาหนึ่ง แต่โจทก์มิได้นำสืบให้ได้ความเช่นนั้น และแม้ว่าในคำร้องขอบรรเทาโทษของจำเลยจะมีเนื้อหาว่าจำเลยรับซื้อไมโครโฟน ของกลางไว้เพื่อให้หลานใช้ร้องเพลงเล่นก็ตามแต่คำร้องขอบรรเทาโทษมิใช่คำให้การ แต่เป็นเพียงการขอให้ศาลลงโทษสถานเบาและบรรยายเหตุผลต่าง ๆ ให้ศาลปรานีถึงแม้จะมีถ้อยคำที่อาจแสดงว่าจำเลยรับสารภาพในความผิดฐานใดฐาน หนึ่งหรือมิได้รับสารภาพในความผิดฐานใดเลยก็มิอาจถือได้ว่าเป็นคำให้การของจำเลย เมื่อคำให้การของจำเลยไม่สามารถรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดในข้อหาใด ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยไม่ได้  (ยกฟ้อง—นายแมงมุม)
            กรณีที่โจทก์มีคำขออุปกรณ์ท้ายฟ้องด้วย เช่นการเพิ่มโทษ  การที่โจทก์กล่าวในฟ้องดังว่านั้นเช่นจำเลยพ้นโทษมาไม่เกินห้าปี หรือให้นับโทษต่อกับอีกคดี การบวกโทษในคดีที่รอไว้ ดังนี้หากจำเลยรับสารภาพตามฟ้องถือว่าจำเลยรับสารภาพในประเด็นดังกล่าวด้วยหรือไม่ ? (รวมด้วย—ถือว่ารับทุกเรื่องตามที่กล่าวในฟ้อง)
            คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๒๔๘/๒๕๔๖ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลชั้นต้นในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2079/2542 ให้ลงโทษจำคุก 1 ปี และปรับ 15,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ฐานเสพเมทแอมเฟตามีนโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายและมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดย ไม่ได้รับอนุญาต ภายในกำหนดระยะเวลารอการลงโทษดังกล่าวจำเลยกระทำความผิดคดีนี้อีกขอให้บวก โทษเข้ากับโทษของจำเลยคดีนี้ เมื่อศาลชั้นต้นอ่านอธิบายฟ้องทั้งหมดให้จำเลยฟัง จำเลยได้ให้การว่า ได้ทราบคำฟ้องตลอดแล้ว ข้าพเจ้าจำเลยขอให้การรับสารภาพตามฟ้อง ดังนั้น คำให้การจำเลยที่รับสารภาพตามฟ้องดังกล่าวจึงย่อมหมายรวมถึงการรับว่าจำเลย เคยต้องโทษจำคุกมาก่อนตามที่โจทก์กล่าวหาในฟ้องด้วย ศาลชั้นต้นจึงนำโทษจำคุกของจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษ ของจำเลยในคดีนี้ได้
            ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โทษจำคุกในความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนโดยฝ่าฝืนต่อ กฎหมายให้เบาลงแล้วรวมโทษจำคุกกับฐานอื่นเป็นจำคุก 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยไม่ได้ระบุว่าให้นำโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษคดี นี้ ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าในที่สุดแล้วศาลลงโทษจำคุก จำนวนเท่าใด ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ชัดเจนขึ้น
หากจำเลยรับว่าได้กระทำผิด
          ถือว่ารับว่ากระทำความผิดแต่ไม่ได้หมายความว่ารับในเรื่องของการเพิ่มโทษ การบวกโทษ ต่าง ๆ ด้วย  (อ.ธานี—เห็นว่าเป็นคำพิพากษาที่แหวกแนวออกไป)
ในคดีอาญาจะลงโทษจำเลยได้สองแบบเท่านั้นคือ
๑.    คำรับสารภาพ
๒.    พยานหลักฐาน
กรณีจำเลยรับสารภาพต้องดูต่อที่มาตรา ๑๗๖
          มาตรา ๑๗๖ ในชั้นพิจารณา ถ้าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปก็ได้ เว้นแต่คดีที่มีข้อหาในความผิดซึ่งจำเลยรับสารภาพนั้น กฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น ศาลต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริง
            ในคดีที่มีจำเลยหลายคน และจำเลยบางคนรับสารภาพ เมื่อศาลเห็นสมควรจะสั่งจำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ปฏิเสธเพื่อให้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ปฏิเสธนั้น เป็นคดีใหม่ภายในเวลาที่ศาลกำหนดก็ได้

·        ความผิดเล็กน้อยศาลลงโทษได้เลย
·        ความผิดร้ายแรง (โทษจำคุกอย่างต่ำตั้งแต่ห้าปีขึ้นไป) ศาลต้องฟังพยานโจทก์ก่อน
            และศาลก็ยังมีอำนาจตามมาตรา ๑๘๕ ด้วย เช่น โจทก์ฟ้องจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จำเลยรับสารภาพตามฟ้อง แต่การสืบพยานโจทก์พยานผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ผู้ตายได้ตายไปก่อนที่จำเลยจะได้ยิงปืนออกไป ดังนี้การกระทำของจำเลยย่อมไม่เป็นความผิด (คดีอาญาถือพยานหลักฐานยิ่งใหญ่กว่าคำรับ-แตกต่างกับคดีแพ่งที่ถือว่าคำรับยิ่งใหญ่กว่าพยานหลักฐาน)

หากจำเลยให้การปฏิเสธ
          ศาลจะกำหนดวันสืบพยานหลักฐาน และการสืบพยานหลักฐานนั้นตามมาตรา ๑๗๔ โจทก์มีอำนาจเปิดคดีซึ่งหมายความว่า โจทก์ต้องสืบพยานก่อน ต่างกับคดีแพ่งที่ดูเรื่องภาระการพิสูจน์
อ่านดูเล่น ๆ นะครับ
          มาตรา ๑๘๕ ถ้าศาลเห็นว่าจำเลยมิได้กระทำความผิดก็ดี การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดก็ดี คดีขาดอายุความแล้วก็ดี มีเหตุตามกฎหมายที่จำเลยไม่ควรต้องรับโทษก็ดี ให้ศาลยกฟ้องโจทก์ปล่อยจำเลยไป..
          เมื่อศาลเห็นว่าจำเลยได้กระทำความผิด และไม่มีการยกเว้นโทษตามกฎหมาย ให้ศาลลงโทษแก่จำเลยตามความผิด ..

มาตรา ๑๙๒ ห้ามพิพากษาเกินคำขอ
มาตรา ๑๙๒  ห้ามมิให้พิพากษา หรือสั่ง เกินคำขอ หรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง
ถ้า ศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดั่งที่ กล่าวในฟ้อง ให้ศาลยกฟ้องคดีนั้น เว้นแต่ข้อแตกต่างนั้นมิใช่ในข้อสาระสำคัญและทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลจะลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นก็ได้
ใน กรณีที่ข้อแตกต่างนั้นเป็นเพียงรายละเอียด เช่น เกี่ยวกับเวลาหรือสถานที่กระทำความผิดหรือต่างกันระหว่างการกระทำผิดฐานลัก ทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ฉ้อโกง โกงเจ้าหนี้ ยักยอก รับของโจร และทำให้เสียทรัพย์ หรือต่างกันระหว่างการกระทำผิดโดยเจตนากับประมาท มิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญ ทั้งมิให้ถือว่าข้อที่พิจารณาได้ความนั้นเป็นเรื่องเกินคำขอหรือเป็นเรื่อง ที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ เว้นแต่จะปรากฏแก่ศาลว่าการที่ฟ้องผิดไปเป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้ แต่ทั้งนี้ศาลจะลงโทษจำเลยเกินอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดที่ โจทก์ฟ้องไม่ได้
ถ้า ศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงบางข้อดั่งกล่าวในฟ้อง และตามที่ปรากฏในทางพิจารณาไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ห้ามมิให้ศาลลงโทษจำเลยในข้อเท็จจริงนั้น ๆ
ถ้า ศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามฟ้องนั้นโจทก์สืบสม แต่โจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิด ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้
ถ้า ความผิดตามที่ฟ้องนั้นรวมการกระทำหลายอย่าง แต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลจะลงโทษจำเลยในการกระทำผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่พิจารณาได้ความก็ได้

อธิบายเบื้องต้น
หลักเกณฑ์
๑.    ห้ามมิให้ศาลพิพากษาเกินคำขอ  (แม้กล่าวมาในฟ้องก็ลงโทษไม่ได้—โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ)
·        ข้อยกเว้น
§  โจทก์อ้างฐานความผิด—บทมาตราผิด แต่สืบสมตามฟ้อง ศาลสามารถลงโทษได้ แต่ต้องเป็นบทที่มีโทษน้อยกว่าบทมาตราที่ถูกต้อง (ฐานที่อ้างมาตามคำขอท้ายฟ้องต้องหนักกว่า)
§ ความผิดตามฟ้องรวมการกระทำหลายอย่าง (ตามมาตรา ๑๙๒ วรรคหก) เช่นอันตรายสาหัสรวมการกระทำฐานทำร้ายร่างกายอยู่ตัว หรือชิงทรัพย์กับปล้นทรัพย์ เป็นต้น
๒.    ห้ามมิให้ศาลพิพากษาหรือสั่งที่โจทก์ไม่ได้กล่าวมาในฟ้อง
·        เช่นโจทก์ฟ้องว่าจำเลยฆ่าผู้ตายโดยเจตนาขอให้ลงโทษ มาตรา ๒๘๙ ปรากฏว่าฟังได้ว่าจำเลยฆ่าคนตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ก็ลงโทษได้แค่ ม.๒๘๘ เพราะมิได้กว่าไว้ในฟ้อง
·        ข้อยกเว้น คือวรรคสอง และวรรคสาม คือข้อแตกต่างมิใช่สาระสำคัญ เป็นต้น (ยกเว้นวรรคหนึ่ง วรรคสอง วรรคสี่)



ติดตามตอนต่อไปนะครับ